FADE TO BLACK
(KUROKO NO
BASKET)
KISE RYOUTA X
KUROKO TETSUYA
* อ้างอิงจาก
การแข่งขันนัดสุดท้ายก่อนที่คุโรโกะ เท็ตสึยะ
จะลาออกจากชมรมบาสเก็ตบอลโรงเรียนมัธยมต้นเทย์โคอย่างเป็นทางการ (มังงะ ตอนที่
227) และการแข่งขันวินเทอร์คัพรอบก่อนเซมิไฟนอล โรงเรียนไคโจวแข่งกับโรงเรียนฟุคุดะโซโค
ซึ่งต้องเจอกับไฮซากิ โชโงะ อดีตผู้เล่นตัวจริงของเทย์โค ในตำแหน่งสมอล์ฟอร์เวิร์ดที่คิเสะเข้าไปแทนที่
ภาพที่เขาร้องไห้ไม่อาจลบเลือนไปจากใจของผมได้เลย
คุโรโกะ เท็ตสึยะ ก้าวขาของเขาไปข้างหน้า
สวนทางกับรุ่นปาฏิหาริย์ที่กำลังเดินออกมาจากสนามแข่งด้วยสีหน้าพออกพอใจกับชัยชนะระดับประเทศปีที่สาม
ภายในฮอลล์เงียบกริบอย่างประหลาด
ไม่มีแม้แต่เสียงโห่ร้องดีใจหรือร้องไห้อย่างสิ้นหวัง มันว่างเปล่า
เช่นเดียวกับผลคะแนนที่ปรากฏอยู่บนจอทางด้านขวาของสนาม ทันทีที่เห็นตัวเลขพวกนั้น
คุโรโกะ เท็ตสึยะ ผู้เล่นคนที่หกซึ่งหายไปจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับมัธยมต้นก็เริ่มร้องไห้
น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาต่อหน้าโรงเรียนเมย์โควที่ไม่มีคำพูดใด
โรงเรียนมัธยมต้นเทย์โค - โรงเรียนมัธยมต้นเมย์โค
ผลคะแนน 111 - 11
หนึ่งในคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นอย่าง คิเสะ
เรียวตะ ตัดสินใจหันหลังกลับมาเพื่อพบกับภาพนั้น ในหัวเขามีแต่ความงุนงง
แปลกใจ และไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าทำไมเพื่อนร่วมทีมของตนจึงร้องไห้
ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อยเขาคงยอมเดินเข้าไปถาม ทว่าเสียงเรียกจากอาคาชิ เซย์จูโร่เพื่อให้ทุกคนไปรวมตัวต่อหน้าผู้สื่อข่าวก็หยุดความคิดพวกนั้นไว้เสียก่อน
และไม่กี่นาทีต่อมา คิเสะก็ได้รู้ความหมายของน้ำตาพวกนั้น
“ทำไมถึงเล่นแบบนั้นในการแข่งล่ะครับ...?”
เขาได้แต่ยืนนิ่ง
มองเจ้าของเรือนผมสีฟ้าที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้แบบพับได้ภายในห้องพักนักกีฬา
ยังไม่มีใครคิดจะตอบคำถามนั้นเว้นเสียแต่อาคาชิ เซย์จูโร่
“ทำไมน่ะเหรอ
เพราะว่ามันเป็นความแตกต่างที่มากเกินไปไงล่ะ ไม่ว่าพวกเราจะทำแบบนั้นหรือไม่
ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันหรอก” คิเสะไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้น หากเขาก็เป็นคนที่สองที่ยอมละความสนใจจากการดื่มน้ำเย็นๆ
มาอยู่ร่วมวงสนทนา “ถ้านายอยากให้เราเล่นจริงจังนักล่ะก็...
ทำไมไม่พูดแบบนี้ในแมตช์อื่นๆ ด้วยล่ะ? นายเองก็ไม่สนว่าคู่แข่งจะเป็นยังไง
คำพูดสวยหรูพวกนั้นเกิดขึ้นก็แค่ตอนที่คู่แข่งเป็นเพื่อนของนายเท่านั้น”
“...”
คิเสะเบิกตาโพลง เริ่มเข้าใจความหมายของการที่คุโรโกะร้องไห้ต่อหน้านักกีฬาโรงเรียนเมย์โคในที่สุด
“เพื่อนของคุโรโกจจิอยู่ในทีมนั้นเหรอ...”
ทุกคนหันมามองคุโรโกะ
ในขณะที่เจ้าตัวไม่เงยหน้าขึ้นสบตาใครเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันให้เร็วกว่านี้สิ”
เขาอยากหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้น ทว่าคิเสะ เรียวตะในตอนนั้นก็ยังโง่เขลาเกินไป “อา... ต่อให้บอกพวกเราไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นะ ถึงจะเป็นเพื่อน
แต่ให้เล่นจริงจังทั้งที่อีกฝ่ายกระจอกแบบนั้นมันก็ --”
“มันน่าเบื่อจะตายถ้าให้เล่นแบบแข่งกันทำแต้มต่อไปเรื่อยๆ”
มุราซากิบาระ อัตสึชิ ขัดขึ้น เป็นความจริงที่รุ่นปาฏิหารย์เบื่อในความง่ายดายอย่างการแข่งกันทำแต้มแล้ว
อีกอย่างพอเอาจริงขึ้นมาเมื่อไร คู่แข่งก็พากันถอดใจและยืนเฉยๆ
ปล่อยให้พวกเขาทำสนามแข่งขันจนกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าสนุกอีกต่อไป
หลังจากนั้น
ทุกคนก็เริ่มพ่นคำพูดร้ายกาจออกมาไม่หยุดเกี่ยวกับความห่างชั้นของคู่แข่งทั้งหมดในประเทศนี้
คิเสะที่เริ่มเบื่อหน่ายในชัยชนะเองก็ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดพวกนั้น
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเห็นจะมีแต่คุโรโกะที่ยังก้มหน้านิ่ง
นิ่งจนชายหนุ่มต้องนึกทบทวนตัวเองว่าเผลอพูดอะไรออกไปบ้าง
และเพราะการไร้ความรู้สึกแบบนั้นนั่นเองที่ทำให้เขาไม่ทันรู้ตัว
“ผมไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกแล้ว”
เสียงของคุโรโกะทำให้มือของคิเสะร้อนผ่าว
เช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขารับลูกบาสจากการส่งที่รวดเร็วของอีกฝ่ายได้ในการซ้อมแข่งกับโรงเรียนอื่นในฐานะสมาชิกชมรมกลุ่มบี
วันแรกที่อยากจะเรียกคนคนนี้ว่า คุโรโกจจิ
คนที่ไม่ว่าอย่างไรก็อ่อนแอกว่าเขาเสมอ
“คงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะลืมทุกอย่าง
เพราะอย่างนั้น...”
ทั้งที่หัวใจกำลังสั่นคลอนขนาดนี้
แต่คิเสะก็ไม่อาจรู้ตัวได้เลยว่าสิ่งนั้นกำลังพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ผมจะไม่เล่นบาสอีกแล้วครับ”
“เอ๊ะ ไม่มาอีกแล้วเหรอ” คิเสะมอง
อาโอมิเนะ ไดกิ เอซของทีมที่กำลงเดินล้วงกระเป๋าออกมาจากห้องเรียนข้างๆ เพื่อไปโรงอาหารด้วยกัน
ตาก็สอดส่องหาใครอีกคนที่ควรจะอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่เห็น
“ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาในวันนี้นะ”
อาโอมิเนะตอบโดยไม่แม้แต่จะช่วยมองหา ซ้ำยังเดินไปข้างหน้าราวกับการหายตัวไปของคุโรโกะ
เท็ตสึยะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คิเสะไม่สบายใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไร
เป็นเพราะเรื่องผลแข่งกับโรงเรียนเมย์โควเมื่อสัปดาห์ก่อน
หรือคำพูดที่ราวกับเขาทุกคนสร้างแผลให้ผู้เล่นคนที่หกโดยไม่ได้ตั้งใจกันแน่
“คุโรโกจจิแทบจะไม่มาโรงเรียนเลยนะ
ไม่สิ ตั้งแต่วันอำลาชมรมก็ไม่ได้มาอีกเลย” เขาเหม่อมองไปข้างหน้า ทอดสายตาผ่านเพื่อนนักเรียนระดับชั้นเดียวกันหลายต่อหลายคนแต่แยกแยะใครไม่ออกเลย
“จะไม่เป็นไรแน่เหรอ?”
“แต่หมอนั่นก็ยังจบการศึกษาได้แบบไม่มีปัญหาใช่ไหมล่ะ
ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดเรียนเลยนี่” อาโอมิเนะตอบอย่างไม่ยี่หระ
นั่นมันไม่ถูกต้องเลย
คิเสะถอนหายใจ
“ฉันได้ยินมาว่าโมโมจจิไปดูที่บ้านแล้วแต่เขาไม่อยู่”
เจ้าของผิวสีเข้มยังเงียบ
แต่นั่นมันไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะคิเสะ
เรียวตะกำลังรู้สึกถึงความผิดพลาดทั้งหมดด้วยใจที่หนักอึ้งของเขาเอง
เขาพับเศษกระดาษที่ได้รับมาจาก โมโมอิ
ซัทสึกิ ลงกระเป๋า มันเป็นแผนที่วาดมือแบบคร่าวๆ แต่ก็เข้าใจง่าย
มิหนำซ้ำโมโมอิยังไม่ลืมที่จะเขียนหมายเลขห้องกำกับมาให้ในกรณีที่คิเสะจำมันไม่ได้
ถึงเขาจะทำได้ดีในการเลียนแบบทุกอย่างที่มองเห็น แต่ความสามารถทางด้านความจำหรือการเรียนนั้นก็ถือเป็นจุดอ่อนอย่างฉกาจ
โรงเรียนมัธยมปลายที่เขาตั้งใจจะเลือกก็ด้วยปัจจัยสองข้อ คือชมรมบาสเกตบอลที่แข็งแกร่งกับเครื่องแบบที่ดูดีและสวมง่ายในตอนเช้าแค่นั้นพอ
“ที่นี่สินะ” เด็กหนุ่มมองประตูห้องสีเทาซึ่งมีป้ายเลขที่บ้านตรงกับในแผนที่ของโมโมอิ
ถ้าวันนี้คุโรโกะไม่ไปเรียน อย่างนั้นก็น่าจะอยู่บ้านแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะกดออด
หวังใจว่าอีกไม่นานคงจะมีคนรีบมาเปิดประตู “ช้าจัง
ถือวิสาสะมาแบบนี้จะเป็นไรไหมนะ”
เขาหันไปมองประตูสีเทาของห้องอื่นๆ
ในแมนชั่นแห่งนี้ที่เรียงกันเป็นทิวแถว ร่างสูงโปร่งถอยหลังเล็กน้อย
พิงสะโพกกับขอบระเบียงทางเดินเพื่อรอคนในห้องโผล่ออกมา ชายแขนเสื้อสเวตเตอร์สีขาวอันเป็นหนึ่งในเครื่องแบบของโรงเรียนถูกยกขึ้นเป่าลมจากริมฝีปาก
อีกเพียงไม่กี่วันทุกคนก็จะจบการศึกษาจากเทย์โคแล้ว และเขาไม่อยากปล่อยให้ทุกอย่างจบลงด้วยความเฉยชาของคุโรโกะอย่างนี้
มันไม่ดีเลย
“อา... ไม่อยู่หรอกเหรอ” คิเสะพึมพำ
ถึงจะเป็นพวกไม่ชอบใส่นาฬิกาข้อมือแต่เขาก็คาดได้ว่านี่มันนานเกินกว่าที่ใครสักคนจะใช้เวลาออกมาเปิดประตูแล้ว
หากความหวังก็ยังส่งตัวเขาไปกดออดเป็นรอบสุดท้าย
ชั่งใจว่าถ้านับหนึ่งถึงสิบแล้วประตูยังไม่ถูกเปิดก็จะกลับไปก่อนในวันนี้
แปด
เก้า
สิบ
คิเสะ เรียวตะจำต้องยอมแพ้ในที่สุด
เขาลดมือลงเก็บในกระเป๋ากางเกง ก้าวถอย ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกไปจากตรงนั้น ถ้าไม่เพียงแต่เสียงปลดล็อกของอะไรบางอย่างจะทำให้สองขาก้าวหยุด
เสียงไอค่อกแค่กดังก้องมาจากด้านใน
ไม่รอช้าเขาก็รีบสาวเท้ากลับไปที่หน้าประตูทันที พลันหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ
คุโรโกะ เท็ตสึยะอยู่หลังประตูบานนั้นในสภาพไม่สู้ดีเอาเสียเลย
“คุโรโกจจิไม่สบายเหรอ” เขามองโซ่ที่คล้องประตูเอาไว้จากด้านในให้สุดระยะแค่การแง้ม
เคยคิดว่าคนที่คิดระบบรักษาความปลอดภัยแบบนี้ได้นั้นเก่งเหลือเกิน
แต่ตอนนี้คิเสะกำลังเกลียดมันที่ทำให้เขาเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด ทั้งคุโรโกะเองก็ยังเอาแต่หลบสายตา
ไม่มีทีท่าว่าจะปลดโซ่ออกมายืนเผชิญหน้ากันดีๆ
“มีอะไรเหรอครับคิเสะคุง”
เป็นน้ำเสียงปกติที่เจ้าของตำแหน่งผู้เล่นคนที่หกมักจะใช้พูดกับใครๆ
แต่วันนี้คิเสะกลับรู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกขึ้นมาเสียแล้ว
“ฉันเห็นนายไม่ไปโรงเรียน
ก็เลยคิดว่าอยากจะแวะมาดูเสียหน่อย”
คุโรโกะไม่ตอบ ราวกับจะยืนยันถึงความสัมพันธ์อันเฉยชาระหว่างพวกเขาในตอนนี้เสียแล้ว
“นี่คุโรโกจจิ”
เขายกมือขึ้นเท้าขอบประตูไว้ มองคนด้านในที่กำลังยืนโงนเงนเพราะพิษไข้ของตัวเอง
“เปิดประตูหน่อยสิ”
“...”
“ขอร้องล่ะ”
จะทำยังไงดีนะ
ถ้าหากว่าคุโรโกจจิไม่ยอมเปิดประตูล่ะก็...
ใช่ ประตูบานสีเทาปิดลงต่อหน้าต่อตาเขา
ความรู้สึกแย่เหลือคณานับตีขึ้นมาภายในจิตใจของเด็กหนุ่มตัวสูงจนอยากจะทรุดนั่งลงไปกับพื้น
คิเสะเสยเรือนผมสีทองของตัวเองอย่างหัวเสีย เขาไม่อยากกลับไปทั้งๆ แบบนี้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นคุโรโกะที่ไม่เหมือนเดิมก็รับมือด้วยยากจนเกินไป
ทว่าประตูก็ค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง
และการที่มันสามารถแง้มได้มากขึ้นกว่าเดิมนั่นเองที่ทำให้คนนอกห้องอย่างเขารีบจับขอบประตูพับเปิดจนสุดบาน
คุโรโกะยังยืนอยู่ที่เดิม
แต่ควันสีขาวที่ถูกพ่นออกจากริมฝีปากซีดเผือดนั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงเขาไปใหญ่
“คิเสะคุงอยากจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
คุโรโกะถาม มันน่าหงุดหงิดที่คำพูดแบบนั้นถูกใช้กับเขาแทนที่จะเป็นคนอื่นๆ
คิเสะมองซ้ายขวา มองเข้าไปด้านในห้องที่เงียบสงัดจนเริ่มแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีใครอีก
จากนั้นจึงสาวเท้าขึ้นไปข้างหน้า ดันร่างคุโรโกะให้ถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งเพื่อที่ตัวเองจะสามารถเบียดเข้าไปได้แล้วจึงพับประตูปิด
ถึงจะทำให้เจ้าของห้องตกใจอยู่บ้าง
แต่ตัวคุโรโกะเองก็คงไม่คิดว่ามันเกินความคาดหมายสักเท่าไร
เขาคว้าข้อมือร้อนฉ่าที่เล็กจนเกือบจะกำได้รอบให้กลับไปยังห้องโถง
พาร่างโงนเงนของคุโรโกะให้ค่อยๆ นั่งลงบนโซฟาโดยไม่ลืมที่จะหยิบหมอนอิงมาให้กอดลดอาการประหม่า
คิเสะจัดการถอดกระเป๋าของตนเองวางพิงไว้ที่พื้น แล้วจึงใช้มือเสยเรือนผมสีฟ้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะอังหน้าผากได้ถนัด
จริงๆ ที่คว้าข้อมือเมื่อครู่ก็พอจะรู้แล้วว่าไข้ขึ้นสูง
ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเห็นสีหน้าคนป่วยชัดๆ คุโรโกะไม่ยอมสบตาเขาเลยตั้งแต่ที่ได้เจอหน้า
“ไม่สบายมากี่วันแล้ว
เพราะแบบนี้เลยไม่ไปโรงเรียนเหรอ?”
คิเสะถามทั้งที่แน่ใจตัวเองว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาก็แกล้งปล่อยผ่าน
ไม่ถามย้ำหรือพูดความจริงขึ้นมาในกรณีที่คุโรโกะยังคงเงียบ “แล้วนี่กินยาหรือยัง
นายมียาลดไข้ติดบ้านไว้มั่งไหมเนี่ย”
“คิเสะคุงมีอะไรก็พูดมาได้เลยครับ...”
หากอีกฝ่ายก็ถามคำเดิมซ้ำเป็นรอบที่สาม
คิเสะรู้ตัวว่าเขากำลังถูกไล่อย่างเนืองๆ แต่มือที่กำลังจิกลงบนหมอนอิงใบนั้นกลับทำให้เขาอยากแกล้งเมินเฉย
ทำตัวพูดไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่นี่ต่อไป คิเสะไม่ใช่คนโง่หรือว่าอ่อนแอ
เขามีทั้งความภาคภูมิใจและทิฐิเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในรุ่นปาฏิหาริย์ ถึงอย่างนั้นคุโรโกะกำลังทำให้เขารู้สึกว่างเปล่า
ความภาคภูมิใจนั้นคิเสะลืมเลือนมันไปตั้งแต่เมื่อไร และมันเป็นแบบไหนเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว
“ยังโกรธเรื่องที่เราทำกับเมย์โคอยู่หรือ”
“...”
“บอกฉันสิคุโรโกจจิ
อย่างน้อยก็น่าจะเป็นฉันที่นายกล้าพูดความรู้สึกในใจออกมานี่นา”
คุโรโกะเงียบ
ยังคงเงียบอย่างน่าใจหายต่อไปแม้ว่าจะยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแล้ว
มือใหญ่กว่ายื่นไปกอบกุมมืออีกฝ่ายอย่างหลวมๆ น้ำลายในลำคอคิเสะ
เรียวตะทั้งเหนียวและมีรสเฝื่อน ภายในหัวที่คิดอะไรไม่ออกร้อนผ่าว
เหมือนกับมีไข้ที่แสนประหลาดฟักตัวขึ้นอย่างรุนแรงภายในเวลาไม่กี่นาที
“ทำไมถึงต้องเป็นคิเสะคุงกันครับ”
น้ำเสียงสงบนิ่งติดแหบเล็กน้อยถามขึ้น “ในเมื่อตอนนั้น... ทุกคนก็ไม่ต่างกันเลยแท้ๆ”
“คุโรโกจจิ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันให้เร็วกว่านี้สิ”
“...”
“อา...
ต่อให้บอกพวกเราไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นะ ถึงจะเป็นเพื่อน
แต่ให้เล่นจริงจังทั้งที่อีกฝ่ายกระจอกแบบนั้นมันก็ --”
มือที่วางบนหมอนอิงค่อยๆ จิกแน่นขึ้น
“ที่ผมบอกว่าจะไม่เล่นบาส...”
เขาไม่อยากฟังคำพูดต่อไปของคุโรโกะเลย
คำที่สัญชาตญาณของคิเสะ เรียวตะกำลังโทษตัวเองว่าเป็นคนที่ทำให้มันเกิดขึ้น
เขาที่ช่างโง่เขลา
ยอมทำลายความรู้สึกของคุโรโกจจิจนไม่เหลือชิ้นดีเพียงเพราะความเบื่อหน่ายของตัวเอง
“ต่อให้ไม่มีเรื่องในครั้งนี้
แต่สุดท้าย... มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่ดีครับ”
“...”
“ผมน่ะ...
ไม่อยากเล่นบาสเกตบอลอีกต่อไปแล้ว”
น้ำตาอุ่นๆ หยดลงบนหลังมือของคิเสะ
มันไม่ใช่ของเขา... ไม่ใช่ของคนที่ไร้ความรู้สึกในรุ่นปาฏิหาริย์คนนี้ ทำไมกันนะ
ทำไมคุโรโกะถึงต้องร้องไห้ ทำไมต้องทำราวกับว่าชัยชนะที่อยู่ในมือของพวกเรามันช่างไร้ค่า
สองปีที่ผ่านมาไร้ความหมาย ทำไมถึงได้แสดงความเจ็บปวดออกมาขนาดนั้น
“คุโรโกจจิ”
เขายกมือขึ้นประคองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย
จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรดี ทำยังไงคุโรโกะถึงจะยอมกลับมายืนข้างๆ เขาอีกครั้ง
ทำไม ทำไม ทำไม
คิเสะทาบทับริมฝีปากหาอีกฝ่าย
จูบอุ่นๆ เปื้อนน้ำตาทั้งเค็มปะแล่มและสงบนิ่งจนเกินไป มันไม่ใช่รสชาติที่ดีเลย
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโหยหาการได้อยู่ตรงหน้าของคุโรโกะ
โหยหาการเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของกันและกันอย่างเมื่อหนึ่งปีก่อน โหยหาความรู้สึกก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มเฉยชา
โหยหาแสงสว่างยามที่เราต่างร่วมมือกันจนชนะบาสเกตบอลเป็นครั้งแรก
ถึงเทียบไม่ได้เลยกับถ้วยชนะเลิศระดับประเทศ แต่สำหรับคิเสะแล้ว...
เขาเพิ่งจำได้เดี๋ยวนี้เองว่ารอยยิ้มในตอนนั้นคือความน่ายินดีที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
กว่าจะรู้ตัว รอยยิ้มของคุโรโกะ
เท็ตสึยะก็เลือนหายไปกับสีดำอันว่างเปล่าเสียแล้ว
เปลือกตาลืมขึ้นเจอกับความมืด คิเสะ
เรียวตะไม่แน่ใจว่าเสียงออดที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้ายเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ตอนนี้กี่โมงแล้ว ตั้งแต่แยกย้ายกับทุกคนหลังประชุมแผนการเล่นในวันพรุ่งนี้เสร็จก็กลับมาหลับเป็นตาย
ต้องเป็นเพราะ ไฮซากิ โชโงะ แน่ๆ ที่ทำให้ฝันถึงสมัยอยู่เทย์โคอย่างนี้
หรือไม่ก็อาจจะเพราะเสียงตะโกนจากคุโรโกะ เท็ตสึยะในวันนี้ก็เป็นได้
คิเสะเผลอหลุดยิ้ม คิดว่าคงใช่แน่ๆ เป็นเสียงจากคุโรโกะที่ทำให้เขาฝันถึงเรื่องนั้น
“ผมเชื่อในตัวคิเสะคุงนะครับ!”
ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับอดีตอยู่ได้ไม่ทันไรเสียงออดก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คิเสะรีบพรวดพราดขึ้นจากเตียงจนขาข้างที่เจ็บปวดแปลบขึ้นมานิดหน่อย ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบไปที่ประตูบ้าน
จามเพราะอากาศเย็นในช่วงนี้อีกทีหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูออกไปพบคุโรโกะที่ยืนรออยู่
เบื้องหลังคือราวระเบียงและท้องฟ้าตอนกลางคืน
ประดับประดาด้วยแสงไฟจากทั่วทุกมุมเมืองในตอนหัวค่ำของญี่ปุ่น
เจ้าของเรือนผมสีฟ้ายืนถือถุงพลาสติกเล็กๆ
อยู่ในมือ ทั้งเสื้อกันหนาวสีเทาและถุงมือที่สวมอยู่นั้นคิเสะคิดว่ามันเข้ากันดี
“ไม่เห็นป่วยหนักเหมือนที่เมลมาบอกเลยนะครับ”
คุโรโกะยื่นถุงยาให้
ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันต่อ ร่างสูงกว่าของคิเสะก็โถมเข้ากอดอีกฝ่ายจนจมอยู่ในวงแขน
“คิเสะคุง...” คนตัวเล็กกว่างุนงง
ถึงอย่างนั้นก็ดีใจที่อุณหภูมิในร่างคนตรงหน้าไม่ได้สูงอย่างที่กังวลไว้
“ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดล่ะครับ ทั้งที่พรุ่งนี้ต้องแข่งกับเซย์รินแท้ๆ”
“อือ” คิเสะงึมงำ
ฟังไม่รู้เรื่องว่ากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ ถึงอย่างนั้นคุโรโกะก็สัมผัสได้ถึงน้ำตาอุ่นๆ
ที่เปรอะอยู่บนข้างแก้มของเขา แต่เป็นน้ำตาที่มาจากเรื่องใดนั้นก็ไม่แน่ใจนัก
“ที่แข่งชนะโชโงะคุงวันนี้...
คิเสะคุงสุดยอดมากเลยนะครับ”
อ้อมกอดรัดรึงแน่นขึ้น
แน่นจนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆ อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่อีก นึกแล้วก็อายตัวเองเหมือนกันที่เผลอตะโกนแบบนั้นออกไปในการแข่งระหว่างไคโจวกับฟุคุดะโซโค
ตอนนั้นคุโรโกะคิดน้อยเกินไป เขารู้แค่ว่าอยากแข่งกับไคโจวในวันพรุ่งนี้
อยากเจอกับคิเสะ เรียวตะในฐานะคู่แข่งอย่างภาคภูมิ
อยากเล่นบาส อยากเล่นบาส
อยากเล่นบาสกับคิเสะคุงอีกครั้ง
“อื้ม... ดีใจมากเลยล่ะที่ชนะ”
เสียงของคิเสะสั่นเครือ
ตอบรับความรู้สึกของคุโรโกะที่ว่าอยากเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้กับชัยชนะ
“ฉันดีใจจริงๆ คุโรโกจจิ”
คนสูงกว่าผละออกสบตากับเขา ถึงแก้มยังเปื้อนคราบน้ำตาแต่คิเสะก็ดูดีเหมือนอย่างทุกที
คุโรโกะยิ้มตอบ ก่อนจะสะดุ้งเพราะลมหนาวที่พัดผ่านในตอนกลางคืนจนคิเสะกระวนกระวายรีบดึงตัวเขาเข้าไปข้างใน
ระหว่างที่เจ้าบ้านกำลังปิดประตู เสียงของอดีตผู้เล่นคนที่หกก็พูดต่อ
“ให้ดีใจได้แค่ตอนนี้เท่านั้นนะครับ
เพราะพรุ่งนี้เซย์รินไม่ยอมแพ้ไคโจวแน่”
คนฟังเลิกคิ้ว ก่อนจะหยักยกรอยยิ้มขึ้นบนริมฝีปากแล้วคว้าแขนคนตรงหน้าเข้าใกล้
ถึงคุโรโกะตั้งใจจะเบี่ยงตัวหนี
แต่คิเสะก็ยังมั่นใจว่าในเวลาแบบนี้นั้นเขาเร็วกว่าหลายขุม กลีบปากทาบกลีบปาก
กดจูบแนบสนิทก่อนจะค่อยๆ อ้าออกเพื่อกลืนกินกันและกันจนแทบหมดลมหายใจ
ตอนนี้สิ่งที่น่าห่วงกว่าเห็นจะเป็นยาลดไข้ที่คุโรโกะ
เท็ตสึยะยอมเสียเงินซื้อมาแล้วกระมัง
“น่ากลัวจัง
สงสัยฉันต้องตัดกำลังเซย์รินให้มากเสียแล้วคืนนี้ ssu~❤”
--------------------------------------------------------------------
โอ้อะฮ่าไบแอสเหลืองดำค่ะ
ด้วยความอยากเขียน
พอถูกเซิ้งก็เลยยิ่งใจง่าย (เหมือนรอให้เซิ้งมานานแล้ว)
แล้วก็ดันเขียนซะยาวด้วยนะคะเนี่ย
แหม อายตัวเองจริงๆ
/บิดม้วนล้านตลบ
ชอบไม่ชอบอย่างไร ติดแท็กให้กันได้ที่ #OHARHAFIC นะคะ
ชอบไม่ชอบอย่างไร ติดแท็กให้กันได้ที่ #OHARHAFIC นะคะ
ปล. จริงๆ
เขียน แดงดำ ft.เหลือง ค้างไว้ด้วยค่ะ
(╯3╰)╭♡