2/21/17

(OS) FADE TO BLACK (Kise x Kuroko)








FADE TO BLACK
(KUROKO NO BASKET)
KISE RYOUTA X KUROKO TETSUYA






* อ้างอิงจาก การแข่งขันนัดสุดท้ายก่อนที่คุโรโกะ เท็ตสึยะ จะลาออกจากชมรมบาสเก็ตบอลโรงเรียนมัธยมต้นเทย์โคอย่างเป็นทางการ (มังงะ ตอนที่ 227) และการแข่งขันวินเทอร์คัพรอบก่อนเซมิไฟนอล โรงเรียนไคโจวแข่งกับโรงเรียนฟุคุดะโซโค ซึ่งต้องเจอกับไฮซากิ โชโงะ อดีตผู้เล่นตัวจริงของเทย์โค ในตำแหน่งสมอล์ฟอร์เวิร์ดที่คิเสะเข้าไปแทนที่










ภาพที่เขาร้องไห้ไม่อาจลบเลือนไปจากใจของผมได้เลย


คุโรโกะ เท็ตสึยะ ก้าวขาของเขาไปข้างหน้า สวนทางกับรุ่นปาฏิหาริย์ที่กำลังเดินออกมาจากสนามแข่งด้วยสีหน้าพออกพอใจกับชัยชนะระดับประเทศปีที่สาม ภายในฮอลล์เงียบกริบอย่างประหลาด ไม่มีแม้แต่เสียงโห่ร้องดีใจหรือร้องไห้อย่างสิ้นหวัง มันว่างเปล่า เช่นเดียวกับผลคะแนนที่ปรากฏอยู่บนจอทางด้านขวาของสนาม ทันทีที่เห็นตัวเลขพวกนั้น คุโรโกะ เท็ตสึยะ ผู้เล่นคนที่หกซึ่งหายไปจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับมัธยมต้นก็เริ่มร้องไห้ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาต่อหน้าโรงเรียนเมย์โควที่ไม่มีคำพูดใด


โรงเรียนมัธยมต้นเทย์โค - โรงเรียนมัธยมต้นเมย์โค
ผลคะแนน 111 - 11


หนึ่งในคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นอย่าง คิเสะ เรียวตะ ตัดสินใจหันหลังกลับมาเพื่อพบกับภาพนั้น ในหัวเขามีแต่ความงุนงง แปลกใจ และไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าทำไมเพื่อนร่วมทีมของตนจึงร้องไห้ ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อยเขาคงยอมเดินเข้าไปถาม ทว่าเสียงเรียกจากอาคาชิ เซย์จูโร่เพื่อให้ทุกคนไปรวมตัวต่อหน้าผู้สื่อข่าวก็หยุดความคิดพวกนั้นไว้เสียก่อน


และไม่กี่นาทีต่อมา คิเสะก็ได้รู้ความหมายของน้ำตาพวกนั้น




“ทำไมถึงเล่นแบบนั้นในการแข่งล่ะครับ...?”


เขาได้แต่ยืนนิ่ง มองเจ้าของเรือนผมสีฟ้าที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้แบบพับได้ภายในห้องพักนักกีฬา ยังไม่มีใครคิดจะตอบคำถามนั้นเว้นเสียแต่อาคาชิ เซย์จูโร่


“ทำไมน่ะเหรอ เพราะว่ามันเป็นความแตกต่างที่มากเกินไปไงล่ะ ไม่ว่าพวกเราจะทำแบบนั้นหรือไม่ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันหรอก” คิเสะไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้น หากเขาก็เป็นคนที่สองที่ยอมละความสนใจจากการดื่มน้ำเย็นๆ มาอยู่ร่วมวงสนทนา “ถ้านายอยากให้เราเล่นจริงจังนักล่ะก็... ทำไมไม่พูดแบบนี้ในแมตช์อื่นๆ ด้วยล่ะ? นายเองก็ไม่สนว่าคู่แข่งจะเป็นยังไง คำพูดสวยหรูพวกนั้นเกิดขึ้นก็แค่ตอนที่คู่แข่งเป็นเพื่อนของนายเท่านั้น”


“...” คิเสะเบิกตาโพลง เริ่มเข้าใจความหมายของการที่คุโรโกะร้องไห้ต่อหน้านักกีฬาโรงเรียนเมย์โคในที่สุด “เพื่อนของคุโรโกจจิอยู่ในทีมนั้นเหรอ...”


ทุกคนหันมามองคุโรโกะ ในขณะที่เจ้าตัวไม่เงยหน้าขึ้นสบตาใครเลย


“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันให้เร็วกว่านี้สิ” เขาอยากหยุดคำพูดตัวเองไว้แค่นั้น ทว่าคิเสะ เรียวตะในตอนนั้นก็ยังโง่เขลาเกินไป “อา... ต่อให้บอกพวกเราไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นะ ถึงจะเป็นเพื่อน แต่ให้เล่นจริงจังทั้งที่อีกฝ่ายกระจอกแบบนั้นมันก็ --”


“มันน่าเบื่อจะตายถ้าให้เล่นแบบแข่งกันทำแต้มต่อไปเรื่อยๆ” มุราซากิบาระ อัตสึชิ ขัดขึ้น เป็นความจริงที่รุ่นปาฏิหารย์เบื่อในความง่ายดายอย่างการแข่งกันทำแต้มแล้ว อีกอย่างพอเอาจริงขึ้นมาเมื่อไร คู่แข่งก็พากันถอดใจและยืนเฉยๆ ปล่อยให้พวกเขาทำสนามแข่งขันจนกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าสนุกอีกต่อไป


หลังจากนั้น ทุกคนก็เริ่มพ่นคำพูดร้ายกาจออกมาไม่หยุดเกี่ยวกับความห่างชั้นของคู่แข่งทั้งหมดในประเทศนี้ คิเสะที่เริ่มเบื่อหน่ายในชัยชนะเองก็ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดพวกนั้น สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเห็นจะมีแต่คุโรโกะที่ยังก้มหน้านิ่ง นิ่งจนชายหนุ่มต้องนึกทบทวนตัวเองว่าเผลอพูดอะไรออกไปบ้าง และเพราะการไร้ความรู้สึกแบบนั้นนั่นเองที่ทำให้เขาไม่ทันรู้ตัว


“ผมไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นอีกแล้ว”


เสียงของคุโรโกะทำให้มือของคิเสะร้อนผ่าว เช่นเดียวกับครั้งแรกที่เขารับลูกบาสจากการส่งที่รวดเร็วของอีกฝ่ายได้ในการซ้อมแข่งกับโรงเรียนอื่นในฐานะสมาชิกชมรมกลุ่มบี วันแรกที่อยากจะเรียกคนคนนี้ว่า คุโรโกจจิ คนที่ไม่ว่าอย่างไรก็อ่อนแอกว่าเขาเสมอ


“คงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะลืมทุกอย่าง เพราะอย่างนั้น...”


ทั้งที่หัวใจกำลังสั่นคลอนขนาดนี้ แต่คิเสะก็ไม่อาจรู้ตัวได้เลยว่าสิ่งนั้นกำลังพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว


“ผมจะไม่เล่นบาสอีกแล้วครับ”










“เอ๊ะ ไม่มาอีกแล้วเหรอ” คิเสะมอง อาโอมิเนะ ไดกิ เอซของทีมที่กำลงเดินล้วงกระเป๋าออกมาจากห้องเรียนข้างๆ เพื่อไปโรงอาหารด้วยกัน ตาก็สอดส่องหาใครอีกคนที่ควรจะอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่เห็น


“ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาในวันนี้นะ” อาโอมิเนะตอบโดยไม่แม้แต่จะช่วยมองหา ซ้ำยังเดินไปข้างหน้าราวกับการหายตัวไปของคุโรโกะ เท็ตสึยะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ คิเสะไม่สบายใจกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไร เป็นเพราะเรื่องผลแข่งกับโรงเรียนเมย์โควเมื่อสัปดาห์ก่อน หรือคำพูดที่ราวกับเขาทุกคนสร้างแผลให้ผู้เล่นคนที่หกโดยไม่ได้ตั้งใจกันแน่


“คุโรโกจจิแทบจะไม่มาโรงเรียนเลยนะ ไม่สิ ตั้งแต่วันอำลาชมรมก็ไม่ได้มาอีกเลย” เขาเหม่อมองไปข้างหน้า ทอดสายตาผ่านเพื่อนนักเรียนระดับชั้นเดียวกันหลายต่อหลายคนแต่แยกแยะใครไม่ออกเลย “จะไม่เป็นไรแน่เหรอ?”


“แต่หมอนั่นก็ยังจบการศึกษาได้แบบไม่มีปัญหาใช่ไหมล่ะ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดเรียนเลยนี่” อาโอมิเนะตอบอย่างไม่ยี่หระ นั่นมันไม่ถูกต้องเลย


คิเสะถอนหายใจ “ฉันได้ยินมาว่าโมโมจจิไปดูที่บ้านแล้วแต่เขาไม่อยู่”


เจ้าของผิวสีเข้มยังเงียบ แต่นั่นมันไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะคิเสะ เรียวตะกำลังรู้สึกถึงความผิดพลาดทั้งหมดด้วยใจที่หนักอึ้งของเขาเอง



 เขาพับเศษกระดาษที่ได้รับมาจาก โมโมอิ ซัทสึกิ ลงกระเป๋า มันเป็นแผนที่วาดมือแบบคร่าวๆ แต่ก็เข้าใจง่าย มิหนำซ้ำโมโมอิยังไม่ลืมที่จะเขียนหมายเลขห้องกำกับมาให้ในกรณีที่คิเสะจำมันไม่ได้ ถึงเขาจะทำได้ดีในการเลียนแบบทุกอย่างที่มองเห็น แต่ความสามารถทางด้านความจำหรือการเรียนนั้นก็ถือเป็นจุดอ่อนอย่างฉกาจ โรงเรียนมัธยมปลายที่เขาตั้งใจจะเลือกก็ด้วยปัจจัยสองข้อ คือชมรมบาสเกตบอลที่แข็งแกร่งกับเครื่องแบบที่ดูดีและสวมง่ายในตอนเช้าแค่นั้นพอ


“ที่นี่สินะ” เด็กหนุ่มมองประตูห้องสีเทาซึ่งมีป้ายเลขที่บ้านตรงกับในแผนที่ของโมโมอิ ถ้าวันนี้คุโรโกะไม่ไปเรียน อย่างนั้นก็น่าจะอยู่บ้านแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะกดออด หวังใจว่าอีกไม่นานคงจะมีคนรีบมาเปิดประตู “ช้าจัง ถือวิสาสะมาแบบนี้จะเป็นไรไหมนะ”


เขาหันไปมองประตูสีเทาของห้องอื่นๆ ในแมนชั่นแห่งนี้ที่เรียงกันเป็นทิวแถว ร่างสูงโปร่งถอยหลังเล็กน้อย พิงสะโพกกับขอบระเบียงทางเดินเพื่อรอคนในห้องโผล่ออกมา ชายแขนเสื้อสเวตเตอร์สีขาวอันเป็นหนึ่งในเครื่องแบบของโรงเรียนถูกยกขึ้นเป่าลมจากริมฝีปาก อีกเพียงไม่กี่วันทุกคนก็จะจบการศึกษาจากเทย์โคแล้ว และเขาไม่อยากปล่อยให้ทุกอย่างจบลงด้วยความเฉยชาของคุโรโกะอย่างนี้ มันไม่ดีเลย


“อา... ไม่อยู่หรอกเหรอ” คิเสะพึมพำ ถึงจะเป็นพวกไม่ชอบใส่นาฬิกาข้อมือแต่เขาก็คาดได้ว่านี่มันนานเกินกว่าที่ใครสักคนจะใช้เวลาออกมาเปิดประตูแล้ว หากความหวังก็ยังส่งตัวเขาไปกดออดเป็นรอบสุดท้าย ชั่งใจว่าถ้านับหนึ่งถึงสิบแล้วประตูยังไม่ถูกเปิดก็จะกลับไปก่อนในวันนี้


แปด

เก้า

สิบ


คิเสะ เรียวตะจำต้องยอมแพ้ในที่สุด เขาลดมือลงเก็บในกระเป๋ากางเกง ก้าวถอย ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกไปจากตรงนั้น ถ้าไม่เพียงแต่เสียงปลดล็อกของอะไรบางอย่างจะทำให้สองขาก้าวหยุด เสียงไอค่อกแค่กดังก้องมาจากด้านใน ไม่รอช้าเขาก็รีบสาวเท้ากลับไปที่หน้าประตูทันที พลันหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ คุโรโกะ เท็ตสึยะอยู่หลังประตูบานนั้นในสภาพไม่สู้ดีเอาเสียเลย


“คุโรโกจจิไม่สบายเหรอ” เขามองโซ่ที่คล้องประตูเอาไว้จากด้านในให้สุดระยะแค่การแง้ม เคยคิดว่าคนที่คิดระบบรักษาความปลอดภัยแบบนี้ได้นั้นเก่งเหลือเกิน แต่ตอนนี้คิเสะกำลังเกลียดมันที่ทำให้เขาเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด ทั้งคุโรโกะเองก็ยังเอาแต่หลบสายตา ไม่มีทีท่าว่าจะปลดโซ่ออกมายืนเผชิญหน้ากันดีๆ


“มีอะไรเหรอครับคิเสะคุง” เป็นน้ำเสียงปกติที่เจ้าของตำแหน่งผู้เล่นคนที่หกมักจะใช้พูดกับใครๆ แต่วันนี้คิเสะกลับรู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกขึ้นมาเสียแล้ว


“ฉันเห็นนายไม่ไปโรงเรียน ก็เลยคิดว่าอยากจะแวะมาดูเสียหน่อย”


คุโรโกะไม่ตอบ ราวกับจะยืนยันถึงความสัมพันธ์อันเฉยชาระหว่างพวกเขาในตอนนี้เสียแล้ว


“นี่คุโรโกจจิ” เขายกมือขึ้นเท้าขอบประตูไว้ มองคนด้านในที่กำลังยืนโงนเงนเพราะพิษไข้ของตัวเอง “เปิดประตูหน่อยสิ”


“...”


“ขอร้องล่ะ”


จะทำยังไงดีนะ ถ้าหากว่าคุโรโกจจิไม่ยอมเปิดประตูล่ะก็...




ใช่ ประตูบานสีเทาปิดลงต่อหน้าต่อตาเขา ความรู้สึกแย่เหลือคณานับตีขึ้นมาภายในจิตใจของเด็กหนุ่มตัวสูงจนอยากจะทรุดนั่งลงไปกับพื้น คิเสะเสยเรือนผมสีทองของตัวเองอย่างหัวเสีย เขาไม่อยากกลับไปทั้งๆ แบบนี้เลย แต่ถึงอย่างนั้นคุโรโกะที่ไม่เหมือนเดิมก็รับมือด้วยยากจนเกินไป


ทว่าประตูก็ค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง และการที่มันสามารถแง้มได้มากขึ้นกว่าเดิมนั่นเองที่ทำให้คนนอกห้องอย่างเขารีบจับขอบประตูพับเปิดจนสุดบาน คุโรโกะยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ควันสีขาวที่ถูกพ่นออกจากริมฝีปากซีดเผือดนั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงเขาไปใหญ่


“คิเสะคุงอยากจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” คุโรโกะถาม มันน่าหงุดหงิดที่คำพูดแบบนั้นถูกใช้กับเขาแทนที่จะเป็นคนอื่นๆ คิเสะมองซ้ายขวา มองเข้าไปด้านในห้องที่เงียบสงัดจนเริ่มแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีใครอีก จากนั้นจึงสาวเท้าขึ้นไปข้างหน้า ดันร่างคุโรโกะให้ถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งเพื่อที่ตัวเองจะสามารถเบียดเข้าไปได้แล้วจึงพับประตูปิด ถึงจะทำให้เจ้าของห้องตกใจอยู่บ้าง แต่ตัวคุโรโกะเองก็คงไม่คิดว่ามันเกินความคาดหมายสักเท่าไร


เขาคว้าข้อมือร้อนฉ่าที่เล็กจนเกือบจะกำได้รอบให้กลับไปยังห้องโถง พาร่างโงนเงนของคุโรโกะให้ค่อยๆ นั่งลงบนโซฟาโดยไม่ลืมที่จะหยิบหมอนอิงมาให้กอดลดอาการประหม่า คิเสะจัดการถอดกระเป๋าของตนเองวางพิงไว้ที่พื้น แล้วจึงใช้มือเสยเรือนผมสีฟ้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะอังหน้าผากได้ถนัด จริงๆ ที่คว้าข้อมือเมื่อครู่ก็พอจะรู้แล้วว่าไข้ขึ้นสูง ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเห็นสีหน้าคนป่วยชัดๆ คุโรโกะไม่ยอมสบตาเขาเลยตั้งแต่ที่ได้เจอหน้า


“ไม่สบายมากี่วันแล้ว เพราะแบบนี้เลยไม่ไปโรงเรียนเหรอ?” คิเสะถามทั้งที่แน่ใจตัวเองว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาก็แกล้งปล่อยผ่าน ไม่ถามย้ำหรือพูดความจริงขึ้นมาในกรณีที่คุโรโกะยังคงเงียบ “แล้วนี่กินยาหรือยัง นายมียาลดไข้ติดบ้านไว้มั่งไหมเนี่ย”


“คิเสะคุงมีอะไรก็พูดมาได้เลยครับ...”


หากอีกฝ่ายก็ถามคำเดิมซ้ำเป็นรอบที่สาม คิเสะรู้ตัวว่าเขากำลังถูกไล่อย่างเนืองๆ แต่มือที่กำลังจิกลงบนหมอนอิงใบนั้นกลับทำให้เขาอยากแกล้งเมินเฉย ทำตัวพูดไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่นี่ต่อไป คิเสะไม่ใช่คนโง่หรือว่าอ่อนแอ เขามีทั้งความภาคภูมิใจและทิฐิเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในรุ่นปาฏิหาริย์ ถึงอย่างนั้นคุโรโกะกำลังทำให้เขารู้สึกว่างเปล่า ความภาคภูมิใจนั้นคิเสะลืมเลือนมันไปตั้งแต่เมื่อไร และมันเป็นแบบไหนเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว


“ยังโกรธเรื่องที่เราทำกับเมย์โคอยู่หรือ”


“...”


“บอกฉันสิคุโรโกจจิ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นฉันที่นายกล้าพูดความรู้สึกในใจออกมานี่นา”


คุโรโกะเงียบ ยังคงเงียบอย่างน่าใจหายต่อไปแม้ว่าจะยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแล้ว มือใหญ่กว่ายื่นไปกอบกุมมืออีกฝ่ายอย่างหลวมๆ น้ำลายในลำคอคิเสะ เรียวตะทั้งเหนียวและมีรสเฝื่อน ภายในหัวที่คิดอะไรไม่ออกร้อนผ่าว เหมือนกับมีไข้ที่แสนประหลาดฟักตัวขึ้นอย่างรุนแรงภายในเวลาไม่กี่นาที


“ทำไมถึงต้องเป็นคิเสะคุงกันครับ” น้ำเสียงสงบนิ่งติดแหบเล็กน้อยถามขึ้น “ในเมื่อตอนนั้น... ทุกคนก็ไม่ต่างกันเลยแท้ๆ”


“คุโรโกจจิ...”





“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันให้เร็วกว่านี้สิ”
“...”
“อา... ต่อให้บอกพวกเราไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นะ ถึงจะเป็นเพื่อน แต่ให้เล่นจริงจังทั้งที่อีกฝ่ายกระจอกแบบนั้นมันก็ --”





มือที่วางบนหมอนอิงค่อยๆ จิกแน่นขึ้น “ที่ผมบอกว่าจะไม่เล่นบาส...”


เขาไม่อยากฟังคำพูดต่อไปของคุโรโกะเลย คำที่สัญชาตญาณของคิเสะ เรียวตะกำลังโทษตัวเองว่าเป็นคนที่ทำให้มันเกิดขึ้น เขาที่ช่างโง่เขลา ยอมทำลายความรู้สึกของคุโรโกจจิจนไม่เหลือชิ้นดีเพียงเพราะความเบื่อหน่ายของตัวเอง


“ต่อให้ไม่มีเรื่องในครั้งนี้ แต่สุดท้าย... มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่ดีครับ”


“...”


“ผมน่ะ... ไม่อยากเล่นบาสเกตบอลอีกต่อไปแล้ว”


น้ำตาอุ่นๆ หยดลงบนหลังมือของคิเสะ มันไม่ใช่ของเขา... ไม่ใช่ของคนที่ไร้ความรู้สึกในรุ่นปาฏิหาริย์คนนี้ ทำไมกันนะ ทำไมคุโรโกะถึงต้องร้องไห้ ทำไมต้องทำราวกับว่าชัยชนะที่อยู่ในมือของพวกเรามันช่างไร้ค่า สองปีที่ผ่านมาไร้ความหมาย ทำไมถึงได้แสดงความเจ็บปวดออกมาขนาดนั้น


“คุโรโกจจิ”


เขายกมือขึ้นประคองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรดี ทำยังไงคุโรโกะถึงจะยอมกลับมายืนข้างๆ เขาอีกครั้ง


ทำไม ทำไม ทำไม


คิเสะทาบทับริมฝีปากหาอีกฝ่าย จูบอุ่นๆ เปื้อนน้ำตาทั้งเค็มปะแล่มและสงบนิ่งจนเกินไป มันไม่ใช่รสชาติที่ดีเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังโหยหาการได้อยู่ตรงหน้าของคุโรโกะ โหยหาการเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของกันและกันอย่างเมื่อหนึ่งปีก่อน โหยหาความรู้สึกก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มเฉยชา โหยหาแสงสว่างยามที่เราต่างร่วมมือกันจนชนะบาสเกตบอลเป็นครั้งแรก ถึงเทียบไม่ได้เลยกับถ้วยชนะเลิศระดับประเทศ แต่สำหรับคิเสะแล้ว... เขาเพิ่งจำได้เดี๋ยวนี้เองว่ารอยยิ้มในตอนนั้นคือความน่ายินดีที่ยิ่งใหญ่เพียงใด


กว่าจะรู้ตัว รอยยิ้มของคุโรโกะ เท็ตสึยะก็เลือนหายไปกับสีดำอันว่างเปล่าเสียแล้ว










เปลือกตาลืมขึ้นเจอกับความมืด คิเสะ เรียวตะไม่แน่ใจว่าเสียงออดที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากฝันร้ายเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตอนนี้กี่โมงแล้ว ตั้งแต่แยกย้ายกับทุกคนหลังประชุมแผนการเล่นในวันพรุ่งนี้เสร็จก็กลับมาหลับเป็นตาย ต้องเป็นเพราะ ไฮซากิ โชโงะ แน่ๆ ที่ทำให้ฝันถึงสมัยอยู่เทย์โคอย่างนี้ หรือไม่ก็อาจจะเพราะเสียงตะโกนจากคุโรโกะ เท็ตสึยะในวันนี้ก็เป็นได้


คิเสะเผลอหลุดยิ้ม คิดว่าคงใช่แน่ๆ เป็นเสียงจากคุโรโกะที่ทำให้เขาฝันถึงเรื่องนั้น




“ผมเชื่อในตัวคิเสะคุงนะครับ!”




ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับอดีตอยู่ได้ไม่ทันไรเสียงออดก็ดังขึ้นอีกครั้ง คิเสะรีบพรวดพราดขึ้นจากเตียงจนขาข้างที่เจ็บปวดแปลบขึ้นมานิดหน่อย ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบไปที่ประตูบ้าน จามเพราะอากาศเย็นในช่วงนี้อีกทีหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูออกไปพบคุโรโกะที่ยืนรออยู่ เบื้องหลังคือราวระเบียงและท้องฟ้าตอนกลางคืน ประดับประดาด้วยแสงไฟจากทั่วทุกมุมเมืองในตอนหัวค่ำของญี่ปุ่น


เจ้าของเรือนผมสีฟ้ายืนถือถุงพลาสติกเล็กๆ อยู่ในมือ ทั้งเสื้อกันหนาวสีเทาและถุงมือที่สวมอยู่นั้นคิเสะคิดว่ามันเข้ากันดี


“ไม่เห็นป่วยหนักเหมือนที่เมลมาบอกเลยนะครับ”


คุโรโกะยื่นถุงยาให้ ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันต่อ ร่างสูงกว่าของคิเสะก็โถมเข้ากอดอีกฝ่ายจนจมอยู่ในวงแขน


“คิเสะคุง...” คนตัวเล็กกว่างุนงง ถึงอย่างนั้นก็ดีใจที่อุณหภูมิในร่างคนตรงหน้าไม่ได้สูงอย่างที่กังวลไว้ “ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดล่ะครับ ทั้งที่พรุ่งนี้ต้องแข่งกับเซย์รินแท้ๆ”


“อือ” คิเสะงึมงำ ฟังไม่รู้เรื่องว่ากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ ถึงอย่างนั้นคุโรโกะก็สัมผัสได้ถึงน้ำตาอุ่นๆ ที่เปรอะอยู่บนข้างแก้มของเขา แต่เป็นน้ำตาที่มาจากเรื่องใดนั้นก็ไม่แน่ใจนัก


“ที่แข่งชนะโชโงะคุงวันนี้... คิเสะคุงสุดยอดมากเลยนะครับ”


อ้อมกอดรัดรึงแน่นขึ้น แน่นจนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆ อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่อีก นึกแล้วก็อายตัวเองเหมือนกันที่เผลอตะโกนแบบนั้นออกไปในการแข่งระหว่างไคโจวกับฟุคุดะโซโค ตอนนั้นคุโรโกะคิดน้อยเกินไป เขารู้แค่ว่าอยากแข่งกับไคโจวในวันพรุ่งนี้ อยากเจอกับคิเสะ เรียวตะในฐานะคู่แข่งอย่างภาคภูมิ




อยากเล่นบาส อยากเล่นบาส อยากเล่นบาสกับคิเสะคุงอีกครั้ง




“อื้ม... ดีใจมากเลยล่ะที่ชนะ”


เสียงของคิเสะสั่นเครือ ตอบรับความรู้สึกของคุโรโกะที่ว่าอยากเห็นอีกฝ่ายยิ้มให้กับชัยชนะ


“ฉันดีใจจริงๆ คุโรโกจจิ”


คนสูงกว่าผละออกสบตากับเขา ถึงแก้มยังเปื้อนคราบน้ำตาแต่คิเสะก็ดูดีเหมือนอย่างทุกที คุโรโกะยิ้มตอบ ก่อนจะสะดุ้งเพราะลมหนาวที่พัดผ่านในตอนกลางคืนจนคิเสะกระวนกระวายรีบดึงตัวเขาเข้าไปข้างใน ระหว่างที่เจ้าบ้านกำลังปิดประตู เสียงของอดีตผู้เล่นคนที่หกก็พูดต่อ


“ให้ดีใจได้แค่ตอนนี้เท่านั้นนะครับ เพราะพรุ่งนี้เซย์รินไม่ยอมแพ้ไคโจวแน่”


คนฟังเลิกคิ้ว ก่อนจะหยักยกรอยยิ้มขึ้นบนริมฝีปากแล้วคว้าแขนคนตรงหน้าเข้าใกล้ ถึงคุโรโกะตั้งใจจะเบี่ยงตัวหนี แต่คิเสะก็ยังมั่นใจว่าในเวลาแบบนี้นั้นเขาเร็วกว่าหลายขุม กลีบปากทาบกลีบปาก กดจูบแนบสนิทก่อนจะค่อยๆ อ้าออกเพื่อกลืนกินกันและกันจนแทบหมดลมหายใจ ตอนนี้สิ่งที่น่าห่วงกว่าเห็นจะเป็นยาลดไข้ที่คุโรโกะ เท็ตสึยะยอมเสียเงินซื้อมาแล้วกระมัง


“น่ากลัวจัง สงสัยฉันต้องตัดกำลังเซย์รินให้มากเสียแล้วคืนนี้ ssu~




--------------------------------------------------------------------

โอ้อะฮ่าไบแอสเหลืองดำค่ะ
ด้วยความอยากเขียน พอถูกเซิ้งก็เลยยิ่งใจง่าย (เหมือนรอให้เซิ้งมานานแล้ว)
แล้วก็ดันเขียนซะยาวด้วยนะคะเนี่ย แหม อายตัวเองจริงๆ
/บิดม้วนล้านตลบ

ชอบไม่ชอบอย่างไร ติดแท็กให้กันได้ที่ #OHARHAFIC นะคะ
 
ปล. จริงๆ เขียน แดงดำ ft.เหลือง ค้างไว้ด้วยค่ะ (3)


© OHARHA
Maira Gall